ความรักของคนตาบอด

คุณเคยเห็นคนตาบอดไม๊ ?

คนตาบอด…ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่  คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะ ๆ เช่น ตลาดนัด  พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า คงจะมีคนใจบุญ ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง…

คนสองคน…ที่จับมือกัน ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่ นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่า ๆเครื่องนึง… กับไมค์ อีกหนึ่งอัน และที่ขาดไม่ได้ ก็คือขันอลูมิเนียม อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน..

เราไม่คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน เราเห็นเขาจับมือกัน… วินาทีนั้น ทำให้เรานึกถึงอะไรบางอย่างที่เราเคยมองข้ามมาตลอด..

คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า…

ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ…

เพราะคนตาบอด…ไม่เคยรู้เลยว่า… คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร.. คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น  เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน…ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ให้กังวลใจ… เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้… ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน… ตาสองข้าง ปิดสนิท….แต่เปิดใจเข้าหากัน…

คนสองคน ที่อยู่ด้วยกัน ด้วย ” ใจ ” ล้วนๆ…

ความรัก….ก็เกิดจากตรงนั้น.

คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง…คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก… คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน…และกลับถึงบ้านพร้อมกัน…

พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ…. ?

คุณรู้หรือเปล่า…คนตาบอด จับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน…

คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊… ?

เราลองกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี…หลายๆ คน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน… หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย…ทั้งรวย ทั้งฉลาด… แต่พวกเราหลายๆ คนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก…

หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน… เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น..

เอ….พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก….มากเกินไปหรือเปล่านะ… อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้… ดูเหมือนเขาจะ…สงสัยก็เพียงแต่ว่า… วันพรุ่งนี้…จะมีคนใจบุญซักกี่คน…ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข….

ขอบคุณตลาดนัด…ที่ทำให้เราเห็นภาพดีๆในวันนี้….

และเชื่อว่าครั้งหน้า…ที่คุณเห็นคนตาบอด…ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น…คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น… ไม่ใช่ด้วยตา…แต่เห็นด้วยหัวใจ…

เหมือนกับภาพที่เราได้เห็นในวันนี้…

สำหรับคนอื่นความรักทำให้คนตาบอด แต่สำหรับทั้งคู่แล้ว ความรักคือสายตา และแสงสว่างที่จะสามารถนำทางไปสู่อีกโลกนึง ที่มีแต่ “หัวใจ” เท่านั้น ที่จะมองเห็น

ขอขอบคุณบทความที่ดี จาก… Foward Mail  นิรนาม

ปรัชญา”ผ้าขี้ริ้ว”

ผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคนคือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผู้อื่น

         ผ้าขี้ริ้วดูดซับความสกปรกได้ แต่ก็สลัดความสกปรกออกจากตัวได้ตลอดเวลา เสน่ห์ของคนอยู่ที่รู้ตัวเองว่าสกปรก ถึงเวลาต้องชำระล้างแล้ว มิใช่อมความสกปรกไว้แล้ว แกล้งบอกว่าตนเองสะอาด

         ผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่สะอาดที่สุด ในขณะที่คนมองว่าสกปรกที่สุด เหมือนคนที่ฝึกหัดขัดเกลาตนเอง รู้จักถ่อมตนและอ่อนโยน ไม่โอหังอวดดีให้เป็นที่รังเกียจหมั่นไส้ของคนอื่น เขาจะเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะมาจากสกุลใด การศึกษามากหรือน้อยก็ตาม เป็นผู้ใฝ่รู้แต่ไม่อวดดี เหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง

          ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้ เหมือนคนที่พยายามทำตนให้มีคุณค่า ด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบ ทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนาชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น

         ผ้าขี้ริ้วไม่เกี่ยงงอนว่าจะถูกใช้เช็ดถูอะไร เหมือนคนที่ยอมตัวอาสาทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ปริปากบ่น รู้จักอาสาคน อาสาทำงาน ต้องตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็ตาม คนที่ตกงานเพราะไม่ยอมทำงาน

         ผ้าขี้ริ้วยอมให้ถูกใช้งานในที่สกปรกที่สุด เหมือนคนที่ยอมทำในสิ่งที่คนทั้งหลายรังเกียจ ที่เขาเห็นว่าเป็นงานชั้นต่ำ แต่ก็ตั้งใจทำให้เป็นของมีค่าขึ้นมาได้ หรือยินดีในการบริการ เหมือนคนที่อิ่มเอิบเมื่อได้บริการรับใช้คนอื่น รับใช้สังคม ดีใจเมื่อคนยินดีมาใช้บริการความรู้ ความสามารถของตน และยินดีที่ได้เสนอตัวเข้าไปบริการมากกว่าเข้าไปบริหาร

         ผ้าขี้ริ้วพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลังความสะอาด เหมือนคนควรพอใจที่ได้อยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของคนอื่น ต้องมีความพอใจที่จะทำงานปิดทองหลังพระ เป็นนายอินหรือนางอิน ผู้ปิดทองหลังพระ มีความสุขและภูมิใจที่ได้มอบความสำเร็จให้คนอื่น มีมากที่ผู้น้อยบางคน ทำงานแล้วทำให้ผู้ใหญ่เล็กลง ขณะที่ตัวเองโตขึ้น

         ผ้าขี้ริ้วทนทานต่อการขัดถูซักล้างไม่เปราะบาง เหมือนคนที่มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคปัญหา แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็อดทนได้ เพื่อให้สำเร็จ ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น มีจิตใจหนักแน่นไม่เปราะบางหักง่าย คือไม่เป็นคนทุกข์ง่ายใจเบา แต่นิ่งและหนักแน่นคงดุจแผ่นดิน

         ผ้าขี้ริ้วแม้จะถูกมองว่าเป็นผ้าขี้ริ้ว แต่ไม่ทำตัวให้ขี้เหร่ เหมือนคนที่รู้ตัวเองว่า กำลังถูกปรามาสสบประมาท จะต้องตั้งใจเอาชนะอุปสรรคตรงนั้นให้ได้ ไม่พ่ายแพ้ต่อคำปรามาสของผู้อื่น รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไรและมีกำลังใจในสิ่งนั้น มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนทั้งหลายมองว่าไร้ค่า เมื่อมีปัญหาให้หัดมองสองด้านเสมอ ผ้าขี้ริ้วมีเสน่ห์เพราะยอมสัมผัสกับสิ่งสกปรก

         ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน หากทนความทุกข์ยากลำบาก ยอมสัมผัสกับงานที่ต่ำต้อยได้ก็จะมีเสน่ห์ และมีความหมาย ทุกคนจึงควรพากเพียรพยายามสร้างเสน่ห์ให้กับชีวิต อย่างที่ผ้าขี้ริ้วสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง คุณเห็นด้วยไหม ที่ว่าเราต้องทำตัวเองให้มีคุณค่าและมองเห็นค่าของตัวเองก่อน แล้วเราจะไม่รู้สึกท้อแท้หมดหวัง

อ่านแล้วได้คิด..

“บางครั้งก็อยากตาย โดยเฉพาะวันที่อ่อนแอ เช่นวันนี้ ”

” ถ้าเราตาย นายอาจจะสบายใจขึ้น ไม่มีใครมากวนใจ
ถ้าเราตาย ไอ้เลวนั้นจะได้เลิก ทำร้ายเพื่อนเสียที
ถ้าเราตาย…ผู้หญิงของพวกนาย จะได้มีความสุข
รอ
รอ
รอ
หน่อยนะ
อีกไม่นาน
อีกไม่นาน….
ใกล้แล้ว…
อดทนหน่อย
เรื่องจะปิดฉากอย่างสมบูรณ์….
ความตาย..ไม่ใช่สิ่งสมมุติ
ความเศร้ามีจริง
ความสุขอาจจะปลอม..
“บางครั้งก็อยากตาย โดยเฉพาะวันที่อ่อนแอ เช่นวันนี้ “
 

ถ้ามีโอกาส..อีกครั้ง

ครูผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ทรงความรู้และรอบรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ได้เคยสอนไว้ว่า..การจะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นต้องอาศัยการ “รอโอกาส”

และเมื่อโอกาสนั้นมาถึง จะต้อง “ฉวยโอกาส” ที่ได้รับนั้นอย่าปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไป แต่ที่ดีที่สุดนั้น ก็คือการ “สร้างโอกาส” เพราะการสร้างโอกาสเป็นทั้งศาสตร์และศิลปที่จะต้องเรียนรู้และกระทำให้เป็นจริง เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี  หลายต่อหลายคนสูญเสียโอกาสไป เพราะใจร้อน ไม่ยอมรอ หลายต่อหลายคนเมื่อโอกาสผ่านมาก็ไม่ยอมรับโอกาสนั้น เพราะคิดว่าจะมีโอกาสที่ดีกว่าตามมาในภายหลัง…

ครูคนหนึ่งบอกลูกศิษย์ให้ไปเก็บดอกหญ้าที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนมาคนละดอกเพื่อเปรียบเทียบกัน ลูกศิษย์เกือบทุกคนกลับมาเร็วบ้างช้าบ้างพร้อมกับดอกหญ้าหลากสี แต่ลูกศิษย์คนสุดท้ายกลับมามือเปล่า

ผมเจอดอกหญ้าตั้งแต่ขอบสนามแล้ว แต่คิดว่าเมื่อเดินไปอีกก็จะเจอดอกหญ้าที่สวยกว่า เลยเดินดูไปเรื่อย ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ไปถึงขอบสนามแล้ว เลยไม่มีดอกหญ้ามาฝาก เพราะไม่กล้าเดินย้อนกลับมาเก็บ” ครูจึงสอนว่า

ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง เธอจะทำอย่างไร”

คนเรานั้น แท้จริงแล้วมีโอกาสที่จะแก้ตัวได้เกือบทุกเรื่อง ถ้าทำอะไรผิดพลาดไป แล้วรู้ตัวแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวเสีย การงานก็จะประสบความสำเร็จความรักก็จะลงตัว และชีวิตก็น่าจะเป็นไปตามธรรมชาติ

แต่เขาว่ากันว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก..อยากทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติก็รีบทำเสีย ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำเมื่อวันนั้นมาถึง คุณเคยนึกไหมว่าถ้าคุณกำลังจะต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แล้วเกิดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถที่จะให้โอกาสคุณมีชีวิตใหม่ คุณจะทำอะไร…

ทุกคนมักจะขอโอกาสอีกครั้งเสมอ..เมื่อได้ทำอะไรผิดพลาดไป

แต่โอกาสที่ได้รับมานั้น คุณจะใช้อย่างไร..

เคยอ่านพบการกล่าวอำลาของนักเขียนผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติท่านหนึ่ง ที่กำลังจะจากโลกไปด้วยโรคร้าย เขาเขียนจดหมายลาทุก ๆ คนด้วยเรื่องราวที่น่าจะเป็นประโยชน์และสมควรที่จะได้รับการแพร่ขยายต่อไปเป็นอย่างยิ่ง

เขาเริ่มต้นว่า..ถ้าฉันมีโอกาสอีกครั้งที่จะมีชีวิตต่อไป

..ฉันจะไม่พูดทุกอย่างที่ฉันคิด แต่ฉันจะคิดก่อนพูดออกไปทุกครั้ง

..ฉันจะไม่คิดถึงราคาของทุกสิ่ง แต่จะคิดถึงคุณค่าแทน

..ฉันจะนอนให้น้อยลง และใช้เวลาครุ่นคิดให้มากขึ้น เพราะทุกนาทีที่ปิดตาไปนั้น ฉันเสียเวลาที่มีคุณค่าไป 60 วินาที

..ฉันจะทำสิ่งที่คนอื่นหยุดทำไปแล้ว และจะลุกมาทำงานในขณะที่คนอื่นหลับ

..ฉันจะแต่งตัวให้เรียบง่าย และเปิดเผยทั้งกายและใจ

..ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะแก่ชราแต่ก็มีความรักได้ และคุณจะเริ่มแก่ชราทันที่ที่ขาดรัก

..ฉันจะปกป้องเด็ก ๆ และให้ความช่วยเหลือพวกเขาเมื่อจำเป็น แต่จะปล่อยให้พวกเขาโบยบินด้วยปีกของเขาเอง

..สำหรับผู้ชรา ฉันจะแสดงให้เขาเห็นว่าความตายไม่ได้มากับความชราเสมอไป แต่มากับความหลงลืมต่างหาก

..ทุกคนอยากจะไปให้ถึงยอดของขุนเขา โดยคิดว่าความสุขนั้นจะเกิดขึ้น เมื่อได้พิชิตยอดเขาแล้วโดยลืมความยากลำบากและประสบการณ์ในการเดินทางขึ้นไปพิชิตยอดเขาทั้งๆ ที่ที่นั่นเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเดินทาง เพราะสำหรับนักเดินทางมืออาชีพแล้ว ความสุขในระหว่างการเดินทางนั้นมากกว่าความสุขเมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางมากนัก

..เมื่อลูกน้อยเริ่มจับมือพ่อ หมายความว่าพวกเขาจะจับมือพ่อของเขาตลอดไป

..คนที่ชอบดูถูกคนอื่นนั้น ก็เพื่อที่จะทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเขาดีขึ้น

จงบอกและแสดงความความรักของคุณออกไปเมื่อมีโอกาส ถ้าฉันรู้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของฉัน ฉันจะกอดคุณไว้ให้แนบแน่น เพื่อจะปกป้องคุณจนวาระสุดท้ายที่ทำได้

..ถ้านี่เป็นนาทีสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นคุณ ฉันจะบอกคุณว่า ฉันรักคุณเสมอ และคิดว่าคุณก็คงจะเข้าใจ

มีวันใหม่เสมอในชีวิตของคนเรา เราทุกคนมีโอกาสใหม่เสมอ จงทำทุกอย่างให้ดีขึ้น พยายามเก็บคนที่คุณรักไว้ใกล้ตัว อย่าให้จากไป บอกพวกเขาว่าคุณต้องการพวกเขา รักพวกเขา และจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี

หัดพูดคำว่าขอโทษนะ ยกโทษให้ฉันด้วย ได้โปรด ขอบคุณ หรือคำอื่น ๆ ที่ให้ความหมายที่ดีที่คุณนึกออกเป็นประจำ เพราะไม่มีใครที่จะระลึกถึงคุณได้ ถ้าคุณเก็บความคิดและความรู้สึกไว้ภายในโดยไม่แสดงออกไป

แสดงออกไปนะว่าคุณมีความรัก อยากให้ทุกคนที่อยู่รอบกายคุณมีความสุข และเพราะความรักความเมตตาดังกล่าวนั้นเองที่จะทำให้คุณมีความสุข ไม่ว่าคุณจะมีโอกาสใหม่หรือไม่

เพราะบางครั้งคุณอาจจะไม่มีโอกาส..อีกครั้ง..เหมือนที่คุณอยากได้

ตั้งสติไว้กับวันนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ เพื่อที่จะไม่ต้องบอกว่า..รู้อย่างนี้จะทำแบบนั้นแบบนี้ จะไม่ทำแบบนั้นแบบนี้

ถ้าคุณมีคนรักอยู่แล้ว มองให้เห็นความรักของเขาหรือเธอ และตอบแทนความรักของเขาหรือเธอด้วยความรักที่จริงใจโดยไม่มีอะไรมาปิดบังซ่อนเร้น

เขาว่า ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก..อะไรดีพึงกระทำ และต้องกระทำ..อะไรที่ไม่ดี ไม่พึงกระทำ และต้องไม่กระทำเสมอ

ขอให้มีชีวิตอยู่ด้วยความรัก เผื่อแผ่ความรักให้คนรอบข้างอย่างมีความสุข และให้การเดินทางของชีวิตเป็นไปอย่างมีประโยชน์และมีคุณค่า ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าทุกนาทีที่ผ่านไป เพื่อที่จะทำให้การเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางเต็มไปด้วยความสุขและความประทับใจจนเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง จะได้ยังคงยิ้มได้อย่างมีความสุข

รักกันวันนี้ดีกว่า เผื่อวันพรุ่งนี้มีอันเป็นไป..

ถ้าคุณอ่านแล้วเห็นด้วย ก็ส่งต่อไปนะ ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ยังเหมือนวันนี้ แต่ถ้าคุณส่งต่อไป พรุ่งนี้อาจจะไม่เหมือนเดิม

เพราะพรุ่งนี้จะต้องดีกว่า..อย่างแน่นอน

ที่มา: คอลัมธ์คลีนิกรัก ของ น.พ. พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ จาก เนชั่นสุดสัปดาห์

เป็นแค่อีกวัน..หรือเป็นตั้งหนึ่งวัน..ของใคร

วันนี้ตื่นสาย..

ที่จริงช่วงนี้ก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่นอนดึก ตื่นสายเกือบทุกวัน ทำให้สุขภายย่ำแย่ ตื่นมาแทนที่จะสดชื่น ม่วนชื่นอย่างคนอื่นเขา กับตื่นขึ้นมาพร้อมกับการแบกความรู้สึก มึน งง สงสัย ซึม แต่ไม่ค่อยเศร้า ก็ยอมรับนะว่ามีเรื่องให้คิด ให้กังวลหลาย ๆ เรื่อง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปเศร้ามันทุกเรื่อง คนที่เศร้า ทั้งที่รู้ว่า มีคนคนหนึ่ง หรืออีกหลาย ๆ คน อาจจะเศร้าไปกับเราด้วย ถ้าเขาเศร้าได้ลง เราก็คงไม่ได้ว่าอะไร แต่เราไม่อยากทำ ไม่รู้ทำไม ไอ้ความรู้สึกนี้ มันถึงลบไม่ได้เสียที ทั้งที่เรื่องก็ผ่านมาตั้งเนิ่นนานแล้ว เราไม่ให้อภัยตัวเอง คงไม่เท่ากับที่ คนที่เราทำร้าย ไม่เคยให้อภัยเราเลย “ถ้ายังลบคำว่าเกลียดไม่ได้ เราทั้งหมดก็คง ไม่สมควรเขียนคำว่ารักทับลงไป” ไอ้ความรู้สึก สับสน ทั้งรัก ทั้งเกลียด เนี๊ย มันร้ายนะ เวลาเกิดขึ้นกับใคร รับรอง อึดอัดทุกคน เชื่อเราซิ เฮ้อ!!

วันนี้ตื่นมาด้วยความรู้สึก เบลอ ๆ พร้อมอาการปวดหัวแทบระเบิด เลยบอกแม่ว่าสงสัยจะขายของไม่ไหว ขอไปหาหมอแล้วกัน ว่าแล้วก็จัดแจงอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน(เวลามีเรื่องไม่สบายใจที่ไร โดดงานทุกที อย่าเอาอย่างนะ)

ออกมาแล้วก็ไม่รู้ไปไหน แต่มีความรู้สึกว่า อยากจะนอนต่อ ขอนอนต่ออีกได้ไหม อยากไปที่ไหนก็ได้ ที่เราจะได้เอนตัวลงนอน แบบไม่ต้องรับรู้ความเป็นไปของกระแสสังคมรอบข้าง ไม่ต้องรับรู้ความรู้สึกของใครทั้งดีและร้าย อยากอยู่ที่เงียบ ๆ กับ..ตัวเอง

แต่อาการปวดหัวมันเริ่มรุนแรงขึ้น เอ๊ะ หรือเรากำลังจะตายนะ ดีใจดีไหม ถ้าปวดหัวมาก ๆ เส้นเลือดแตกเปี้ยง ตาย นอนยาวเลยที่นี่ (มันคิดได้ – -*) ไปหาหมอก้ได้ (วะ) สรุปยังไม่อยากตาย ยังไม่ได้ทำอะไรตั้งหลายอย่าง ไอ้ปัญญาที่ไม่ค่อยจะมี คิดแก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยได้ ยังไม่ได้ใช่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยังไม่ได้ไปเที่ยวที่อยากไปตั้ง ร้อยกว่าที่ ยัง..ยัง..ยัง ชีวิตมีแต่เรื่องยังไม่ได้ทำ..ถ้ารีบตายตอนนี้สงสัย คงเป็นผีที่ไม่มีความสุข..เออว่าแต่ผีนี่มีความสุขไหม..(เมิงถามใครเนี๊ยไอ้นก -..-)